เรียวโงะกุ เป็นย่านหนึ่งในเขตสุมิดะในกรุงโตเกียว ย่านนี้ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวง และเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในฐานะที่เป็นเมืองซูโม่ ด้วยความที่มีรูปปั้นซูโม่ในท่าประลองแบบต่าง ๆ, รอยมือประทับตา และรูปภาพนักกีฬาซูโม่หลาย ๆ คน รวมไปถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ที่อยู่ในบริเวณละแวกรอบข้างที่แสนเงียบสงบ ทำให้การได้มาเดินเล่นในย่านนี้เปรียบเสมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตที่จะพาคุณเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของกรุงโตเกียว และ เคารพยกย่องกีฬาซูโม่ในฐานะที่เป็นกีฬาดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งต่อจากนี้คือ 10 สิ่งน่าทำ ณ ย่านนี้!
<千秋楽の様子>幕内の取組。琴奨菊-勢。 #sumo pic.twitter.com/SAx8qJyIXU
— 日本相撲協会公式 (@sumokyokai) May 28, 2017
สนามกีฬาซูโม่ Kokugikan Sumo Stadium เป็นสนามกีฬาที่ในทุกปีจะใช้จัดการแข่งขันสามในหกการแข่งขันกีฬาซูโม่แห่งชาติ (ในช่วงเดือนมกราคม, พฤษภาคม, และ กันยายน) ด้วยความจุมากกว่า 10,000 ที่นั่ง ทำให้ในทุก ๆ ฤดูการแข่งขัน สนามกีฬาแห่งนี้จะถูกอัดแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวและผู้ที่ชื่นชอบกีฬาซูโม่อยู่เสมอ ซึ่งย่านที่แสนผ่อนคลายและเงียบสงบนี้ สามารถเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียวเมื่อคนจากที่ต่าง ๆ มารวมตัวกัน เพื่อดูการแข่งขันการต่อสู้ของนักกีฬาซูโม่ที่แสนสนุกและน่าตื่นเต้น
นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์ซูโม่ (เฉพาะภาษาอังกฤษ) ที่คุณสามารถเข้าไปเยี่ยมชมและศึกษาเกี่ยวกับกีฬามวยปล้ำชนิดนี้มากยิ่งขึ้นในช่วงนอกฤดูกาลแข่งขันอีกด้วย (โดยในช่วงวันที่มีการแข่งขัน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเปิดให้เฉพาะผู้ที่มีบัตรสามารถเข้าชมได้) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะจัดแสดงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกีฬามวยปล้ำซูโม่ ไม่ว่าจะเป็นภาพพิมพ์แกะสลัก รวมไปถึงผ้ากันเปื้อนพิธีการที่เคยถูกใส่โดยนักกีฬาซูโม่ผู้มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งการเข้าชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
รายละเอียดการจอง: ซื้อตั๋วเข้าชมการแข่งขันกีฬามวยปล้ำซูโม่ ณ กรุงโตเกียว *เฉพาะภาษาอังกฤษ
การเดินทาง
หากคุณเดินทางมาเที่ยวกรุงโตเกียวในช่วงที่ไม่มีการจัดการแข่งขัน ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีโอกาสเห็นการประลองซูโม่ เพราะคุณยังสามารถเข้ามาดูการซ้อมในสนามซ้อมซูโม่ หรือที่เรียกว่า “เบยะ” ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงนอกฤดูกาล จะรับรองนักท่องเที่ยวให้สามารถเดินทางมาเข้าชมการซ้อมของนักกีฬาซูโม่ในช่วงเช้า หรือที่เรียกว่า “อาซะเกอิโคะ” (“asageiko (朝稽古)”) และคุณยังจะได้รับโอกาสถ่ายรูปกับนักกีฬาซูโม่หลังจบการซ้อมของพวกเขาอีกด้วย
สนามประลองซูโม่ในย่านเรียวโงะกุที่เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมการซ้อมในตอนเช้า ได้แก่ Dewanoumi Beya Dewanoumi Beya (出羽海部屋) (เฉพาะภาษาญี่ปุ่น), Hakkaku Beya (八角部屋) (เฉพาะภาษาญี่ปุ่น), Kasugano Beya (春日野部屋) และ Kokonoe Beya (九重部屋) (เฉพาะภาษาอังกฤษ) อย่างไรก็ตาม บางแห่งยังจำเป็นต้องโทรไปจองขอเข้าชมการซ้อมล่วงหน้า หรือบางแห่งจำเป็นจะต้องพาเพื่อนที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ไปด้วย เราขอแนะนำให้คุณโทรไปจองล่วงหน้าก่อน (โดยสามารถให้พนักงานโรงแรมเป็นคนโทรไปจองให้ก็ได้) และสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตารางเวลาและข้อปฏิบัติให้เรียบร้อย ก่อนที่จะไปชมการซ้อมในสนามที่คุณต้องการจะไป
นักกีฬาซูโม่ให้ความเคารพกีฬาของพวกเขาเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบขณะชมการซ้อมของพวกเขาดังต่อไปนี้
- ไม่สามารถนำอาหารและเครื่องดื่มไปรับประทานในสนามประลองได้ และไม่อนุญาตให้เคี้ยวหมากฝรั่งในสนามประลองเช่นกัน
- ถอดรองเท้าและนั่งในตำแหน่งที่ถูกกำหนดไว้ให้แล้ว โดยห้ามวางเท้าในตำแหน่งที่ตรงไปทางสังเวียน หรือที่เรียกว่าโดเฮียว (dohyo)
- ห้ามเข้าไปในสังเวียนการประลอง เพราะสังเวียนการประลองถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนักกีฬามวยปล้ำซูโม่เท่านั้น
- ห้ามเข้าไปในสังเวียนการประลอง เพราะสังเวียนการประลองถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนักกีฬามวยปล้ำซูโม่เท่านั้น
- คุณสามารถถ่ายรูปได้ตราบใดที่คุณปิดชัตเตอร์และไม่มีเสียงแฟลช
รายละเอียดการจอง: ชมการฝึกซ้อมตอนเช้าของนักกีฬาซูโม่ ณ ลานซ้อมซูโม่ในกรุงโตเกียว *เฉพาะภาษาอังกฤษ
พิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว จะนำเสนอเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของเมืองหลวงแห่งนี้ ตั้งแต่ปี 1600 (ยุคเอโดะ) มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะบอกเล่าเรื่องราวมากมาย ทั้งประวัติศาสตร์, วิถีชีวิตของคนในเมือง, กิจกรรม และธุรกิจต่าง ๆ ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่หล่อหลอมกรุงโตเกียวให้เป็นเมืองหลวงที่แสนมหัศจรรย์ในปัจจุบัน
บริเวณพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการถาวรของพิพิธภัณฑ์ มีแบบจำลองและสิ่งของที่น่าสนใจต่าง ๆ มากมายหลากหลายรูปแบบ และ ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจำลองสะพานนิฮงบาชิขนาดจริงขึ้นมา ซึ่งถือเป็นตัวแทนความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการค้าและการคมนาคมในเอโดะ (ชื่อเก่าของกรุงโตเกียว) นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังมีส่วนจัดนิทรรศการพิเศษที่แสดงด้านต่าง ๆ ของกรุงโตเกียว ซึ่งสิ่งที่จัดแสดงพิเศษนี้จะแตกต่างจากสิ่งที่จัดแสดง ณ พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการถาวร และค่าแรกเข้าชมของทั้งสองแห่งจะถูกเก็บแยกส่วนกัน
นอกจากนี้ ยังมีมัคคุเทศก์อาสาสมัครที่พร้อมจะช่วยนักท่องเที่ยวที่ต้องการการพาชมพิพิธภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องโทรมาจองล่วงหน้า
ภายในพิพิธภัณฑ์ ยังมีคาเฟ่และร้านอาหารที่ขายอาหารญี่ปุ่นรวมถึงอาหารตะวันตกแสนอร่อย ที่คุณสามารถไปนั่งรับประทาน และยังมีห้องสมุด ร้านขายของที่ระลึกให้คุณได้เลือกซื้อก่อนกลับบ้านกันอีกด้วย
เว็บไซต์ พิพิธภัณฑ์เอโดะ-โตเกียว *เฉพาะภาษาอังกฤษ
การเดินทาง
พิพิธภัณฑ์ศิลปะสุมิดะโฮคุไซ ตั้งชื่อตามศิลปิน คัตสึชิกะ โฮะคุไซ (Katsushika Hokusai; 1760 to 1849) จิตรกร และศิลปินภาพอุกิโยะ (ภาพพิมพ์แกะไม้) ระดับโลก ภายในมีการจัดแสดงภาพศิลปะที่มีชื่อเสียง ของโฮะคุไซที่ยังคงหลงเหลืออยู่จำนวนมาก รวมไปถึงผลงานชิ้นเอก ที่มีชื่อว่า “คลื่นยักษ์นอกฝั่งคานากาวะ” หรือ “The Great Wave off Kanagawa” ซึ่งเป็นภาพสัญลักษณะที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก
บริเวณพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการถาวรของพิพิธภัณฑ์ จะจัดแสดงผลงานอันโดดเด่นของ โฮคุไซ ที่ถูกจำลองขึ้นมาใหม่ด้วยความคมชัดสูง และมีข้อมูลประกอบภาพอย่างละเอียดที่ผู้มาเยือนสามารถอ่านและเข้าใจผลงานแต่ละชิ้นได้มากขึ้น ในขณะที่บริเวณ พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการพิเศษ จะมีการจัดแสดงงานต้นฉบับของโฮะคุไซ รวมไปถึงแผ่นไม้แกะสลักของจริงที่เขาใช้รังสรรค์ภาพพิมพ์แกะไม้ด้วย นอกจากนี้ ที่พิพิธภัณฑ์ยังจัดแสดงอัตชีวประวัติของ โฮคุไซ โดยเฉพาะเรื่องราวชีวิตและการทำงานของเขาตอนอยู่ที่เมืองสุมิดะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาใช้เวลาอยู่มากที่สุดตลอดช่วงชีวิตของเขา
เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์ศิลปะสุมิดะโฮคุไซ (Sumida Hokusai Museum) *เฉพาะภาษาอังกฤษ
การเดินทาง
สวนสาธารณะโยโกอะมิโช ถูกสร้างขึ้นในปี 1930 โดยมีการสร้างหอประวัติศาสตร์ขนาดเล็กถึงสองอาคาร เพื่ออุทิศให้กับผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมทางสงครามและภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยสองอาคารนั้นมีชื่อว่า พิพิธภัณฑ์แผ่นดินไหวคันโต (the Kanto Earthquake Memorial Museum (復興記念館)) และ หอรำลึกโตเกียว (the Tokyo Memorial Hall (東京都慰霊堂))
พิพิธภัณฑ์แผ่นดินไหวคันโต จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เคยเกิดขึ้น และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุณแรงในภูมิภาคคันโตและกรุงโตเกียว เหตุการณ์อันน่าสลดใจนี้เกิดขึ้นเมื่อประชาชนผู้อพยพต่างพากันหนีมาหลบภัยในสถานที่ที่พวกเขาคิดว่าเป็นแหล่งหลบภัยที่ปลอดภัยและสามารถปกป้องพวกเขาได้ แต่ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์อันน่าสลด เมื่อเกิดไฟไหม้ลุกลามในพื้นที่ และคร่าผู้อพยพไปหลายพันคน รูปภาพต่าง ๆ รวมไปถึงภาพวาดและศิลปะวัตถุได้ถูกจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติอันใหญ่หลวงที่เคยเกิดขึ้นและทำให้ทั้งประเทศต้องเศร้าโศก
หออนุสรณ์โตเกียวก็ถูกสร้างขึ้นในปี 1930 เช่นกัน เพื่อรำลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวคันโต ซึ่งในปี 1951 หอรำลึกแห่งนี้ได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ รวมถึงสถานที่เพื่อรำลึกถึงเหยื่อเหตุการณ์การถูกโจมตีทางอากาศปี 1945 ในกรุงโตเกียวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถูกตั้งรวมอยู่ในนี้อีกด้วย
ทั้งหออนุสรณ์และพิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าฟรี โดยจะเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9:00 น. ถึง 16:30 น. (ปิดทุก ๆ วันจันทร์)
เว็บไซต์ Yokoamicho Park *เฉพาะภาษาอังกฤษ
การเดินทาง
หม้อไฟจังโกะนาเบะถือเป็นเมนูดั้งเดิมเมนูโปรดของนักมวยปล้ำซูโม่ เมนูนี้เป็นอาหารประเภทหม้อไฟที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อสัตว์และผัก เคี่ยวในน้ำซุปปรุงรส ซึ่งมีร้านอาหารมากมายในเขตเรียวโงะกุที่นำเสนอเมนูแคลอรี่สูงนี้เป็นเมนูเด่นของร้าน ซึ่งร้านเหล่านั้น คือ Kawasaki (川﨑), Chanko Kirishima (ちゃんこ霧島), Chanko Tomoegata (ちゃんこ巴潟), Chanko Tomoji (ちゃんこ 友路), Kappo Chanko Ouchi (割烹ちゃんこ 大内) และ Sumouchaya Terao (相撲茶屋 寺尾) (เฉพาะภาษาอังกฤษ) ซึ่งเจ้าของร้านอาหารหม้อไฟจังโกะนาเบะบางร้านยังเป็นนักกีฬาซูโม่ที่เกษียณแล้วอีกด้วย
สวนคิว-ยาสุดะ (ซึ่งแปลได้ว่า “สวนของยาสุดะในอดีต”) มีการบันทึกว่าถูกสร้างในสมัยเก็นโรคุ (ค.ศ. 1688 ถึง ค.ศ. 1703) โดย ฮนโจ อินะบาโนะคามิ มูเนะซุเกะ (Honjo Inabanokami Munesuke) ของแคว้น ฮิตาชิ คาซามะ (Hitachi Kasama) ซึ่งในปี ค.ศ. 1891 ได้ถูกซื้อและกลายเป็นสวนของเซ็นจิโร ยาสุดะ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น และในปี ค.ศ. 1922 สวนแห่งนี้ได้ถูกมอบให้กับรัฐบาลตามคำขอสุดท้ายในพินัยกรรมของยาสุดะ
สวนสไตล์ญี่ปุ่นแห่งนี้ ถือเป็นร่องรอยที่เป็นหลักฐานแห่งความทรุดโทรมและเสื่อมสลายจากสงครามและภัยพิบัติมากมาย ที่ได้พยายามทำลายกรุงโตเกียวในอดีต ซึ่งหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในคันโต สวนน้อย ๆ แห่งนี้ได้ถูกบูรณะและฟื้นฟูกลับสู่การเป็นสวนอันงดงามเหมือนในอดีต
สวนคิว-ยาซุดะ เริ่มเปิดให้เข้าชมในปี 1971 รับรองได้เลยว่า สวนอันงดงามที่มาพร้อมสะพานโค้งข้ามสระน้ำขนาดเล็ก, ต้นบอนไซต่าง ๆ, โคมไฟหินมากมาย, ศาลเจ้าขนาดจิ๋ว และสระน้ำแสนสวย จะช่วยให้คุณผ่อนคลาย และย้อนเวลากลับไปนึกภาพอดีตของสวนในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี
สวนสาธารณะแห่งนี้จะเปิดให้เข้าชม ตั้งแต่เวลา 9:00 น. ถึง 16:30 น. และจะยืดเวลาเปิดไปจนถึง 18:00 น. ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน และคุณไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเข้าชมสวนแต่อย่างใด
เว็บไซต์ Kyu-Yasuda Garden *มีระบบแปลภาษาอัตโนมัติ
การเดินทาง
วัดเอโคะ-อิน เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกายโจโด ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปถึงปี 1657 เมื่อมหาอัคคีภัยเมเรกิ (The Great Fire of Meireki) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “ฟูริโซเดะ (ชื่อแบบชุดกิโมโน) คาจิ” (振袖火事) หรือ อัคคีภัยกิโมโนต้องคำสาปได้เกิดขึ้น ณ เมืองเอโดะ โดยไฟได้ทำลาย 60% ของเมืองนี้ และคร่าชีวิตชาวเมืองไปกว่าแสนคน โชกุนอิเอะสึนะ ซึ่งเป็นโชกุนคนที่ 4 แห่ง ตระกูลโทะกุงะวะ ได้มอบที่ดินเพื่อใช้เป็นสถานที่พักพิงของดวงวิญญาณของเหยื่อจากโศกนาฏกรรมไฟไฟม้ในครั้งนั้น ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ไม่ได้มีญาติที่มีชีวิตหลงเหลืออยู่ที่จะสามารถสวดมนต์ให้พวกเขาได้ ดังนั้น จึงมีการสร้างอนุสรณ์สถานของดวงวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาชื่อว่า “บันนิงซึกะ (万人塚)” ซึ่งแปลว่า “เนินวิญญานล้านดวง” และมีการจัดงานรำลึกยิ่งใหญ่ให้พวกเขาเหล่านั้น ซึ่งวัดเอโคะ-อิน ก็ถูกสร้างขึ้นขณะเดียวกันกับที่มีการสวดมนต์อธิษฐานอุทิศให้กับผู้เสียชีวิต
พื้นที่ในวัดเอโคะ-อิน ยังถูกใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันซูโม่ต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 1768 และถูกใช้เป็นสถานที่หลักในการจัดการแข่งขันกีฬามวยปล้ำชนิดนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งถึงปี 1909 เมื่อสนามกีฬาซูโม่ Ryogoku Kokugikan Sumo Stadium ได้ถูกสร้างขึ้น
วัดเอโคะ-อิน ยังเป็นสถานที่ฝังของผู้มีชื่อเสียงหลายคน หนึ่งในนั้นคือ นากามูระ จิโรคิจิ (Nakamura Jirokichi) หรือ ที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า เนะซุมิ โคโซ (Nezumi Kozo; 1797 ถึง 1831) ซึ่ง เนะซุมิ โคโซ ซึ่งแปลตรง ๆ ได้ว่า “จอมโจรหนู” เป็นฮีโร่ และโจรในตำนานพื้นบ้าน โดยเขาโด่งดังจากการปล้นบ้านซามูไร หรือ เหล่าคนรวยกว่า 100 หลัง เพื่อเอาเงินมาแจกคนจน ทำให้เขาถูกขนานนามให้เป็น “โรบินฮูดของญี่ปุ่น” ซึ่งก่อนที่เขาจะถูกจับ และ ประหารชีวิต เขาได้หย่ากับเหล่าภรรยาของเขา เพื่อปกป้องพวกเธอให้รอดพ้นจากการโดนโทษเดียวกับเขาอีกด้วย
เว็บไซต์ วัดเอโคะ-อิน *เฉพาะภาษาญี่ปุ่น
การเดินทาง
สวนฮงโจ มัตซึสะกะ-โจ เป็นบริเวณหนึ่งของคฤหาสถ์ของข้าหลวง คิระ โยะชินะกะ (Lord Kira Yoshinaka) ที่กลุ่มโรนิน (ซามูไรไร้นาย) ทั้ง 47 คน ได้ทำการล้างแค้น หรือ ที่เรียกว่า เหตุการณ์เก็นโระกุ อะโก โดยเรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อโรนินทั้ง 47 คนได้ทำการแก้แค้นต่อการตายของ อาซาโนะ นางาโนริ (Asano Naganori) ผู้เป็นเจ้านาย ด้วยการสังหารข้าหลวงคิระผู้เป็นศัตรูของเขา โดยโรนินได้ลงมือตัดศีรษะในขณะที่คิระหลับ และนำศีรษะเขาไปไว้ที่หลุมศพของเจ้านาย ก่อนที่จะฆ่าตัวตายตาม บ่อน้ำที่ใช้ล้างศีรษะของคิระที่ถูกตัดยังคงมีอยู่ให้เห็น ณ สวนแห่งนี้ ซึ่งทำให้ผู้ที่มาเยือน สามารถย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนที่แสนสลดนั้นได้เป็นอย่างดี
เว็บไซต์สวนฮงโจ มัตซึสะกะ-โจ (Honjo Matsuzaka-cho Park) *เฉพาะภาษาอังกฤษ
การเดินทาง
มีร้านค้าหลายร้านในเรียวโงะกุ ที่ขายสินค้าที่เกียวข้องกับซูโม่ให้คุณได้เลือกซื้อเป็นของที่ระลึกกลับบ้าน
ร้านแรก คือ ร้านโคคุงิคัง ซึ่งตั้งอยู่ที่สนามกีฬาซูโม่โคคุงิกัง ร้านนี้ขายสินค้ามากมายที่เกี่ยวกับซูโม่ ไม่ว่าจะเป็น แก้วน้ำ, ผ้าขนหนู, พัด, และ กระเป๋าแบบต่าง ๆ
อีกหนึ่งร้านที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักและอยู่ในพื้นที่ คือ ร้าน Ryogoku-Takahashi (両国高はし) ร้านที่เปิดตั้งแต่ปี 1912 นี้ ขายสินค้าต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซูโม่ ไม่ว่าจะเป็น หมอน, พัด, กล่องเบ็นโตะ, แม่เหล็กลายต่าง ๆ และสินค้าน่ารัก ๆ อีกเพียบ ซึ่งร้านนี้จะเปิดตั้งแต่เวลา 9:30 น. ถึง 19:00 น. ทุกวัน และจะปิดทุกวันอาทิตย์
เว็บไซต์ร้าน Kokugikan Shop *เฉพาะภาษาญี่ปุ่น
การเดินทาง
เว็บไซต์ร้าน Ryogoku-Takahashi *เฉพาะภาษาญี่ปุ่น
การเดินทาง
ในบรรดาสิ่งที่สามารถทำได้ ณ ย่านเรียวโงะกุนี้ คุณสนใจข้อไหนมากที่สุด? เราขอแนะนำให้คุณใช้เวลามาเดินเล่น ณ ย่านแห่งนี้ และค้นพบวิถีชีวิตของซูโม่ และมาทำความเข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกรุงโตเกียวให้มากยิ่งขึ้น รับประกันได้เลยว่า การมาเยือนย่านเรียวโงะกุที่ครึกครื้นแต่แสนสงบแห่งนี้ จะเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน