อาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสักหน่อย ถ้าหากอยากจะขึ้นเหนือไปให้ไกลกว่า “วักกะไน” และ แหลมโซยะ (Cape Soya) เพราะสถานที่เหล่านี้ คือ จุดที่อยู่เหนือที่สุดของประเทศญี่ปุ่น! (แล้วถ้าต่อจากนั้นขึ้นไปจะเจออะไรล่ะ? คำตอบก็คือ ประเทศรัสเซีย) เมืองวักกะไนไม่ได้เป็นแค่เมืองที่อยู่เหนือที่สุดของประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองที่อยู่เหนือที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถเดินทางไปถึงได้โดยรถไฟ และยังเป็นที่เดียวที่ฉันได้เห็นป้ายต่าง ๆ มีทั้งภาษาอังกฤษและภาษารัสเซีย
เมืองวักกะไน ตั้งอยู่บริเวณเขตแดนระหว่างทะเลญี่ปุ่นและทะเลโอคอตสค์ (Okhotsk) ทำให้เมืองนี้เป็นเมืองแห่งการประมง สิ่งแรกที่คุณสามารถทำได้ คือ การแวะเวียนไปชมท่าเรือหาปลา หรืออาจจะไปเยี่ยมชมค่ายทหารของที่นี่ เนื่องจากเมืองวักกะไนอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือ ทำให้รอดพ้นจากการโจมตีด้วยมิสไซล์จากสหรัฐอเมริกา ถ้าคุณได้มีโอกาสไปเที่ยวแถบนี้แล้วล่ะก็ ต่อไปนี้คือ สถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นจุดที่ควรไปเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
จากสถานีวักกะไน (Wakkanai) เดินเท้าห่างออกไปเพียง 5 นาที คุณจะได้พบกับโดมขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ป้องกันท่าเรือจากลมแรงและคลื่นสูง ดังคำกล่าวที่ว่าเมืองวักกะไนนั้นเป็น “เมืองแห่งลม” สถานที่แห่งนี้ยังมีความลับอยู่ข้อหนึ่ง คือ โครงสร้างของสถานที่ได้ถูกใช้สำหรับการซ่อมบำรุงเรือดำน้ำในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ไม่มีหลักฐานเดิมหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
คุณสามารถเดินเล่นบนคันเขื่อนได้ และในเวลากลางคืนโดมแห่งนี้ยังได้รับการประดับประดาตกแต่งด้วยไฟอีกด้วย
เว็บไซต์ กำแพงโดมกันคลื่นที่วักกะไน (Wakkanai Port Northern Breakwater Dome) *เฉพาะภาษาญี่ปุ่น
การเดินทาง
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างออกไปจากสถานีวักกะไนด้วยการเดิน 30 นาที หรือ หากเดินทางโดยรถโดยสารราว 10 นาที คุณจะได้พบกับ “แหลมโนชัปปุ (Noshappu)” ซึ่งเป็นที่ตั้งของประภาคารที่สูงที่สุดในเกาะฮอกไกโด และสูงเป็นอันดับสองในประเทศญี่ปุ่น บริเวณใกล้ ๆ ยังเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะที่มีอนุสาวรีย์ปลาโลมา ซึ่งมีชื่อว่า “ท่าเรือประมงเอะซันโดะมาริ (Esandomari)” เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อสำหรับการมาชมพระอาทิตย์ตกดิน และในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสคุณอาจจะมองเห็นเกาะริชิริ (Rishiri) ได้จากที่นี่อีกด้วย
เว็บไซต์ แหลมโนชัปปุ *เฉพาะภาษาอังกฤษ
การเดินทาง
เว็บไซต์ท่าเรือประมงเอะซันโดะมาริ (Esandomari Fishing Harbor) *เฉพาะภาษาอังกฤษ
การเดินทาง
เพียงเดิน 2 นาทีจากท่าเรือประมงเอะซันโดะมาริ คุณจะได้พบกับที่ตั้งของอาคารพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ในที่เดียวกัน พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโนชัปปุ จัดแสดงปลาต่าง ๆ มากมายที่อาศัยในน้ำเย็น ซึ่งจะแตกต่างจากปลาสวยงามที่เราเคยเห็นกันทั่วไปในพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง และมีขนาดตัวเล็กมาก เล็กพอ ๆ กับบ่อน้ำที่พวกมันอาศัยอยู่ ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่สักหน่อย แต่ที่นี่ยังมี “นางฟ้าทะเล” (sea angel) ซึ่งเป็นหอยชนิดหนึ่ง และฉันก็สนุกมากที่ได้เห็นแมวน้ำในสระน้ำที่เย็นจัดจนเป็นน้ำแข็งและดูเหมือนกำลังแหวกว่ายอยู่ใน Mojito ยังไงยังงั้น ที่นี่ยังมีโชว์การแสดงของแมวน้ำในช่วงฤดูร้อนด้วย
ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ก็สนุกมาก ๆ ถึงแม้ว่าจะคุณจะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นก็ตาม ที่นี่จัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอวกาศและระบบนิเวศวิทยา การเดินทางในขั้วโลกไปพร้อมกับเลื่อนที่ลากโดยสุนัข ห้องที่เต็มไปด้วยซากดึกดำบรรพ์ และส่วนที่ดีที่สุด คือ การทดลองทางวิทยาศาสตร์! ซึ่งส่วนใหญ่ก็จัดขึ้นสำหรับเด็ก ๆ แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถร่วมสนุกได้
ค่าเข้าชมของที่นี่อยู่ที่ 500 เยน สำหรับผู้ใหญ่ 1 คน
เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโนชัปปุ *มีระบบแปลภาษาอัตโนมัติ
การเดินทาง
เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เยาวชนและเด็ก *เฉพาะภาษาญี่ปุ่น
การเดินทาง
เกาะริชิริ (Rishiri) และเกาะรีบุน (Rebun) เป็นสองเกาะที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ ซึ่งคุณสามารถเดินทางไปถึงได้โดยการนั่งเรือจาก Wakkanai มีรถโดยสารให้บริการสำหรับผู้ที่อยากเที่ยวชมรอบ ๆ และไปยังจุดท่องเที่ยวบางจุด ฉันไม่ได้ไปที่นั่นเลยไม่สามารถจะบอกอะไรได้มาก แต่คิดว่ามันจะต้องสวยงามและคุ้มค่ากับการเดินทางมากเลยทีเดียว
เว็บไซต์เกาะริชิริ (Rishiri) และเกาะรีบุน (Rebun) *เฉพาะภาษาอังกฤษ
การเดินทาง: เกาะริชิริ (Rishiri) / เกาะรีบุน (Rebun)
อยากจะขึ้นเหนือไปให้ไกลกว่าวักกะไนดูมั้ย? ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของเมือง 30 กิโลเมตร คือ “แหลมโซยะ (Cape Soya)” ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ทางเหนือสุดของญี่ปุ่น คุณจะได้เห็นอนุสาวรีย์เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น อนุสาวรีย์จุดที่เหนือที่สุด, อนุสาวรีย์ดนตรี, รูปปั้นของรินโซ มามิยะ (Rinzo Mamiya), ระฆังคู่แห่งสันติภาพ และประภาคารหรือหอสังเกตการณ์ของทหารเรือในอดีต
จากจุดนี้คุณยังสามารถมองเห็นเกาะ Sakhalin ของประเทศรัสเซียได้อีกด้วย และสามารถเดินต่อไปยังเนินเขาด้านหลังได้ นอกจากนี้ยังมีกังหันลมของแหลมโซยะ (the cape Soya wind farm) ซึ่งมีกังหันลมถึง 57 อันอีกด้วย
แต่ให้จำไว้ว่า มันอาจจะยากอยู่สักหน่อยสำหรับการเดินทางไปแหลม Soya ด้วยรถสาธารณะ เนื่องจากรถไฟจะจอดแค่ที่วักกะไนเท่านั้น มีรถโดยสารท้องถิ่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้วิ่งบ่อย ๆ ซึ่งฉันคิดว่าวิธีเดินทางที่ดีที่สุดก็คือ การใช้รถยนต์
เว็บไซต์แหลมโซยะ (Cape Soya)
การเดินทาง
เริ่มจากรถไฟ แต่ไม่มีชินคันเซ็นวิ่งไปถึงที่นั่นและคุณจะต้องใช้รถไฟท้องถิ่น ซึ่งสายที่เดินทางโดยตรงจากซัปโปโรถึงวักกะไนนั้นก็มีอยู่จำกัด สำหรับระยะเวลาเดินทางต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 5 ชั่วโมง และราคาอยู่ที่ประมาณ 8,000 – 11,000 เยน
สำหรับการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวจะใช้เวลาประมาณ 5-7 ชั่วโมง ถนนที่เรียบไปตามชายฝั่งนั้น มีวิวที่สวยงามและคุณจะได้อยู่ใกล้ชิดกับทะเลมาก ๆ และมีอีกหนึ่งเส้นทางที่ต้องผ่านภูเขา แต่จะใช้เวลาในการเดินทางมากกว่า
ถ้าการเดินทางโดยรถยนต์หรือรถไฟใช้เวลานานเกินไปสำหรับคุณ ที่วักกะไนก็มีสนามบิน แต่ราคาตั๋วนั้นแพงมาก
ด้านล่างคือ ตารางสรุปวิธีการเดินทาง:
วิธีเดินทาง | เวลาในการเดินทาง | ราคาโดยประมาณ (เยน) |
---|---|---|
รถไฟ | อย่างต่ำ 5 ชั่วโมง | 8,000-11,000 เยน |
รถยนต์ | ประมาณ 7 ชั่วโมง | ขึ้นอยู่กับค่าน้ำมัน |
เครื่องบิน | ประมาณ 2-3 ชั่วโมง | ประมาณ 26,000 |
ถ้าคุณต้องการจะหยุดพักระหว่างเดินทางแล้วล่ะก็ สถานีวักกะไน คือ คำตอบ! ที่นี่เป็นมากกว่าแค่สถานีรถไฟ เพราะมันเป็นศูนย์กลางกิจกรรมต่าง ๆ อย่างแท้จริง มีทั้งร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ และที่บริเวณชั้น 2 คุณยังจะได้พบกับพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยโต๊ะจำนวนมาก และมีบริการ Wi-fi ฟรี นอกจากนี้ ยังมีห้องสำหรับคุณหนู ๆ ที่เต็มไปด้วยของเล่นอีกด้วย
ฉันได้เดินทางไปที่วักกะไนและแหลมโซยะในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นวันที่ลมแรงมาก แถมที่พื้นยังเต็มไปด้วยน้ำแข็ง แต่ก็บอกได้เลยว่านี่คือ การได้สัมผัสความเป็น “เมืองแห่งลม” อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าอากาศจะไม่เป็นใจ ฉันก็ยังรู้สึกสนุกมาก ๆ และคงไม่ต้องบอกเลยว่าวักกะไนเป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับการไปเที่ยว และแหลมโซยะก็เป็นอีกสถานที่ที่ดีมาก ๆ ที่ควรหาโอกาสไปให้ได้สักครั้งในชีวิต
หากต้องการหาที่พักในวักกะไน สามารถดูข้อมูลทั้งหมดได้ที่นี่!